ความหมายและคุณค่าของธรรมะ

ความหมายของธรรมะ คำว่า ธรรมะ หรือธัมมะ พระพุทธโฆษาจารย์ได้ให้ความหมายไว้ 4 ประการคือ










คุณค่าของพระธรรม
ธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น แม้จะมีจำนวนมากมาย แยกแยะเป็นหลายประเภท หากบุคคลรู้จักเลือกสรรเขาหัวข้อธรรมมาปฏิบัติให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและชีวิตของตน ครอบครัว และสังคมแล้ว ย่อมจะเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของศาสดาผู้นำมาประกาศ หลักธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธองค์แล้วเป็นจริง เป็นสิ่งที่พาไปสู่ความสงบสุข และประโยชน์เกื้อกูล คุณของพระธรรมที่เรียกว่า “ธรรมคุณ” สรุปได้ 6 ประการคือ
1. สฺวากขาโต ภควา ธมฺโม แปลว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเข้าตรัสดีแล้ว คือ ตรัสไว้เป็นความจริงแท้ อีกทั้งงามในเบื้องต้น(ละชั่ว : ประพฤติศีล) งามในท่ามกลาง (ทำดี : สมาธิ) และงามในที่สุด (ทำใจให้บริสุทธิ์ : ปัญญา) พร้อมทั้งอรรถ (เนื้อความ, ใจความ)พร้อมทั้งพยัญชนะ (อักษร) ประกาศหลักการครองชีวิตอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง







ได้จำเพาะตน ต้องทำ ต้องปฏิบัติ จึงรับรู้หรือรู้ได้เฉพาะตัว ทำให้กันไม่ได้ เอาจากกันไม่ได้ และรู้ได้ ประจักษ์ที่ในใจของตนนี่เอง

ความเป็นมนุษย์ของเราก็จะเจริญปรากฏออกมา จนกระทั่งเราเข้าถึงความจริงของธรรมชาติ มีชีวิตที่ดีงามมีความสุขอย่างแท้จริง พระ
ธรรมจึงเป็นรัตนะที่ 2 ในพระรัตนตรัย ดังนั้นผู้ปฏิบัติธรรมจะได้รับผลดังนี้




อริยสัจ 4 : ทุกข์ : ขันธ์ 5 : โลกธรรม 8
โลกธรรม 8 (worldly conditions)









อริยสัจ 4 : สมุทัย : กรรมนิยาม : กรรม 12

กรรมนิยาม (Law of Kamma, Moral laws)

















อริยสัจ 4 : สมุทัย : มิจฉาวณิชชา 5
มิจฉาวณิชชา 5







อริยสัจ 4 : นิโรธ : วิมุตติ 5







อริยสัจ 4 : มรรค : อปริหานิยธรรม 7








ซึ่งเป็นหลักใจและเป็นตัวอย่างทางศีลธรรมของประชาชน เต็มใจต้อนรับและหวังให้ท่านอยู่โดยผาสุก
อปริหานิยธรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์
1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เป็นการพบปะปรึกษาหารือกิจการงานคณะสงฆ์โดยสม่ำเสมอ
2. พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจกรรมสงฆ์ ซึ่งการประชุม และการทำกิจกรรมใดที่สงฆ์พึงกระทำร่วมกันและพร้อมเพรียงกันลุกขึ้นจัดการแก้ไขสิ่งเสียหาย เหตุไม่ดีไม่งาม
3. ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ คือการไม่ล้มล้างสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้
4. เคารพและรับฟังถ้อยคำของภิกษุผู้ใหญ่ คือภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ เป็นสังฆบิดร เป็นสังฆปรินายก เคารพนับถือภิกษุเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งอันควรรับฟัง เช่น เราเคารพนับถือและเชื่อฟังคำสั่งสอนขององค์พระสังฆราช พระราชาคณะต่าง ๆ เป็นต้น
5. ไม่ลุอำนาจตัณหา คือความอยากที่เกิดขึ้น
6. ยินดีในเสนาสนะป่า ยินดีในความเป็นอยู่ที่ง่าย ๆ เป็นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ที่สงบร่มเย็น
7. ยินดีสมาชิกใหม่และความปรารถนาดีต่อสมาชิกเก่า คือตั้งสติระลึกไว้ในใจว่า เพื่อนพรหมจารี (พระภิกษุสงฆ์) ทั้งหลายที่เข้ามาอาศัยอยู่ร่วมกัน และมีความปรารถนาดีพระภิกษุสงฆ์ที่อยู่เก่าให้มีความเป็นอยู่ที่ผาสุก







อริยสัจ 4 : มรรค : ปาปณิกธรรม 3
ปาปณิกธรรม 3 (qualities of a successful shopkeeper or businessman)




อริยสัจ 4 : มรรค : ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4





อริยสัจ 4 : มรรค : โภคาอาทิยะ 5
โภคาอาทิยะ 5 (uses of possessions)














อริยสัจ 4 : มรรค : อริยวัฑฒิ 5







ริยสัจ 4 : มรรค : มงคล 38 : ถูกโลกธรรมจิตไม่หวั่นไหว
ถูกโลกธรรมจิตไม่หวั่นไหว









จิตไม่เศร้าโศก
ความเศร้าโศก ได้แก่ ความรู้สึกทุกข์กายทุกข์ใจ เป็นปฏิกิริยาอาการที่ไม่ดีของธรรมชาติสำหรับมนุษย์ อันเกิดมาจากสาเหตุต่าง ๆ นา ๆ นานัปการ เช่น เกิดจากความเสื่อมจากญาติ เกิดจากความเสื่อมจากทรัพย์ เกิดจากความเสื่อมจากเกียรติยศชื่อเสียง หรือเกิดจากการถูกทำลาย ทั้งทางกายและจิตใจ หรือความขัดแย้งกันระหว่างความรู้สึกภายในจิตใจกับสิ่งภายนอกร่างกาย
ความเศร้าโศก ต้องบรรเทาด้วยการปฏิบัติธรรม ด้วยการระงับความรู้สึก ด้วยการข่มจิตใจและด้วยการปรับเปลี่ยนความรู้สึกที่ไม่ดีให้เป็นความรู้สึกที่ดี เช่น ระลึกถึงบุญกุศลที่ได้เคยทำไว้ในกาลก่อน หรือด้วยการระงับประสาทระงับความรู้สึกที่ไม่ดี
การมีจิตใจที่ไร้ความเศร้าโศก จึงเป็นภาวะของพระอริยเจ้า ที่มีจิตใจสงบ มั่นคง เด็ดเดี่ยว หนักแน่นและเข้มแข็ง เพราะความรู้สึกเล็ก ๆ น้อยจากความเสื่อมทั้งหลายที่กล่าวมา ไม่สามารถทำให้ท่านมีจิตใจหวั่นไหวและเศร้าโศกได้ เป็นคุณสมบัติอันพิเศษ อันอยู่เหนือวิสัยของปุถุชนคนธรรมดา เป็นภาวะที่มาจากการฝึกฝนจิตให้เข้มแข็ง ทำให้มีความอดทนทั้งด้านร่างกายและจิตใจสูง ทำให้มีพลังความอดทนและความเด็ดเดี่ยวอยู่เหนือความรู้สึกทั้งหมด ความไม่เศร้าโศกจึงทำให้ร่างกาย และจิตใจผ่องใสเบิกบาน ทำให้เป็นศิริมงคลแก่ตัวเองและผู้พบเห็น เป็นการบรรลุจุดหมายอันสูงสุดของชีวิต เป็นผู้กำจัดความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงของชีวิตได้หมดสิ้นแล้ว เป็นผู้ดำรงอยู่ในปรมัตถธรรม พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า การมีจิตใจที่ไร้ความเศร้าโศก เป็นมงคลสูงสุด
ราคะ คือ ความกำหนัดรักใคร่อยากในรูป เสียง กลิ่น รส และอยากสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกที่พึงพอใจ ชอบใจ
ทำให้สุขกายสุขใจที่ผสมไปด้วยความทุกข์ และความเศร้าหมองของกายและใจ
โทสะ คือ ความโกรธ ความฉุนเฉียว ความอาฆาตพยาบาทและปองร้าย ความรู้สึกที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งทางร่ายกาย วาจาและใจ เป็นภาวะที่ไม่ดีแก่ตัวเองและผู้อื่นเมื่อเกิดความโกรธขึ้น
โมหะ คือ ความหลง ความโง่เขลาเบาปัญญา ความหลงผิด ความเป็นผิดเป็นถูก ความเห็นถูกเป็นผิด เป็นความรู้สึกที่ขาดประสบการณ์ ขาดการวิเคราะห์ ขาดความรับผิดชอบชั่วดีในเรื่องคุณธรรม
ราคะ โดยธรรมชาติแล้ว เป็นสิ่งที่มีโทษน้อยและคลายช้า แต่ถ้ามีโทสะ โมหะเกิดขึ้นร่วมด้วยก็จะทำให้ราคะมีโทษมาก มีพลังมาก มีความรุนแรงมาก ดังนั้นจึงควรกำจัดหรือระงับราคะด้วยอสุภสัญญา คือ พยายามวิเคราะห์ หรือพิจารณาทำให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า รูป เสียง กลิ่น รส การสัมผัส และอารมณ์ความรู้สึกเป็นของธรรมดา อีกไม่ช้าก็จะสูญสลายไปในที่สุด

ความเศร้าโศก ต้องบรรเทาด้วยการปฏิบัติธรรม ด้วยการระงับความรู้สึก ด้วยการข่มจิตใจและด้วยการปรับเปลี่ยนความรู้สึกที่ไม่ดีให้เป็นความรู้สึกที่ดี เช่น ระลึกถึงบุญกุศลที่ได้เคยทำไว้ในกาลก่อน หรือด้วยการระงับประสาทระงับความรู้สึกที่ไม่ดี







จิตเกษม





้ การมีจิตเกษม เป็นเหตุให้ปลอดโปร่งโล่งใจ เป็นเหตุให้เป็นอิสรภาพจากโลกธรรมทั้งหลาย คือ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศได้รับคำสรรเสริญ ถูกนินทา ได้รับความสุข และความทุกข์ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถครอบงำจิตใจของเราได้ จึงมีความเป็นอยู่เหนือโลกธรรมทั้งหลาย เป็นเหตุให้มีความเป็นเอกภาพในตัวเอง คือ ได้ศึกษาค้นคว้าฝึกปฏิบัติจบแล้ว ได้บรรลุปัญญาอันสูงสุด มีความรู้จริง เห็นจริง และบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต คือ นิพพาน
ประโยชน์ของจิตเกษมคือ




พุทธศาสนสุภาษิต
ปฏิรูปการี ธุรวา อุฏฺฐาตา วินฺทเต ธน ํ
คนขยันเอาการเอางาน กระทำเหมาะสม ย่อมหาทรัพย์ได้
คนขยันเอาการเอางาน กระทำเหมาะสม ย่อมหาทรัพย์ได้

วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา
เกิดเป็นคนควรจะพยายามจนกว่าจะประสบความสำเร็จ
เกิดเป็นคนควรจะพยายามจนกว่าจะประสบความสำเร็จ

สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธน
ํความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
ํความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง

อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก
การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก
การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก

การเป็นหนี้โดยการกู้ยืมมาจากบุคคลอื่น เพื่อนำมาใช้จ่าย ทำให้เกิดทุกข์ เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ย ถูกทวงถาม ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ต้องโทษ และอาจจะถึงขั้นล้มละลายหรือถูกจองจำในที่สุด
การกู้หนี้มีสองชนิด คือกู้มาเพื่อลงทุนทำกิจการต่าง ๆ และการกู้มาเพื่อกินเพื่อใช้ การกู้ชนิดแรกเป็นการทำเพื่อหวังกำไรและเป็นวิธีการใหม่จึงอยู่นอกความหมายของภาษิตนี้ในที่นี้จึงหมายเฉพาะการกู้มาใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายเท่านั้น



การสังคายนาและการเผยแผ่พระไตรปิฎก



สาเหตุของการสังคายนา













บางตำรานับการทำสังคายนาในประเทศไทยอีก 2 ครั้งคือ



ปัญหาการนับสังคายนา





การเผยแผ่พระไตรปิฎก

ี้




ต่อมาใน พ.ศ. 2514 ได้มีการพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาไทยเป็นครั้งที่ 2 เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 ได้เสวยราชสมบัติครบ 25 ปี เรียกว่า พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง และครั้งสุดท้ายมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้มีการแปลและจัดพิมพ์ดังได้กล่าวมาแล้ว ในการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกให้เป็นภาษาไทย เพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เป็นคนไทยทุกคนสามารถเข้ามาศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกได้ ซึ่งเป็นการเผยแผ่พระไตรปิฎกอีกลักษณะหนึ่ง







เรื่องน่ารู้จากพระไตรปิฎก














พวกพิเศษ ผู้ที่แสวงหาความชอบธรรม และใช้อย่างมีสติสัมปชัญญะ มีจิตใจเป็นอิสระ มีลักษณะดังนี้

ประเภทที่ 10 นี้ พระพุทธเจ้าสรรเสริญว่าเป็นผู้เลิศ ประเสริฐสูงสุด ควรชมทั้ง 4 สถานคือ เป็นคฤหัสถ์แบบฉบับ
ที่น่าเคารพนับถือ
ศัพท์ทางพระพุทธศาสนา
โพธิปักขิยธรรม 






วาสนา – บารมี
วาสนา ตามความหมายของพจนานุกรม ฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 กล่าว่า วาสนา หมายถึง บุญบารมี, กุศลที่ทำ
ให้ได้รับ หรือลาภยศ ซึ่งสอดคล้องกับความหมายของ สมพร เจริญพงศ์ (2544 : 457) ได้ให้ความหมายไว้ว่า วาสนา หมายถึง คุณความดีที่สั่งสมมา, สิ่งที่ฝังอยู่ในใจ, ความรู้ความความประพฤติที่เกิดติดมาจากชาติก่อน บุญบาปที่อบรมมา จริยาที่ประพฤติจนเคยชิน กุศลให้ถึงซึ่งยศศักดิ์ อำนาจ และเธียรชัย เอี่ยมวรเมธ (2544 : 1058) ก็ให้ความหมายคล้ายกัน โดยจำแนกออกเป็นข้อ ๆ ดังนี้
1. กุศลที่ทำให้ได้ลาภยศ : คนที่มีวาสนา
2. ความรู้ที่ได้มาจากชาติปางก่อน
3. ผลบุญหรือบาปที่อบรมมาก่อน
4. กุศลอันที่ทำให้เกิดโชคลาภ : มีโชควาสนา/ไม่มีโชควาสนา

จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า วาสนาก็คือ บุญกุศล ความรู้ที่สะสมไว้ทั้งในชาติปางก่อนและในปัจจุบัน ซึ่งจะตอบสนองต่อบุคคลที่ได้สะสมไว้มากน้อยตามแต่อัตภาพ วาสนาจึงมีลักษณะคล้ายกับผลของกรรม และบารมีที่สะสมไว้และจะตอบสนองในเวลาต่อมา
บารมี คือคุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจะหมายอันสูงยิ่ง มี 10 ประการคือ
1) ทานบารมี (บารมีจากการให้ทาน)
2) ศีลบารมี (บารมีจากการประพฤติศีล)
3) เนกขัมมบารมี (บารมีจากการออกบวช, การปลีกออกจากกาม)
4) ปัญญาบารมี (บารมีจากการมีปัญญา)
5) วิริยะบารมี (บารมีจากความเพียร)
6) ขันติบารมี (บารมีจากความอดทน)
7) สัจจบารมี (บารมีจากการมีสัจจะ)
8) อธิษฐานบารมี (บารมีจากความตั้งใจมั่น)
9) เมตตาบารมี (บารมีจากความเมตตา) และ
10) อุเบกขาบารมี (บารมีจากความอุเบกขา)

(พระธรรมปิฎก. 2543 : 136)
พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญบารมีมาถึง 10 ชาติ จนพระชาติสุดท้ายคือ พระเวสสันดร ได้ทรงบำเพ็ญทานบารมี จึงได้บรรลุพระอรหันต์สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระชาติต่อมา
ที่มา:http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m5/web/hungtoom/p1.php






















ความหมายและคุณค่าของธรรมะ
ที่มา:http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m5/web/hungtoom/p1.php
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น